วันพฤหัสบดีที่ 1 สิงหาคม พ.ศ. 2556
วันพฤหัสบดีที่ 12 กรกฎาคม พ.ศ. 2555
วันจันทร์ที่ 19 มีนาคม พ.ศ. 2555
วันพุธที่ 29 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2555
วันจันทร์ที่ 13 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2555
สิ่งดี ดี ในน้ำท่วม
เรื่องดีๆ ในสถานการณ์น้ำท่วม
ผม พักอยู่ประตูน้ำพระอินทร์ อยุธยา แต่ที่ทำงานอยู่ลาดพร้าว80 ผมต้องเดินทางไปกลับทุกวัน (บริษัทฯมีรถรับ-ส่งแค่สะพานใหม่) ตอนเช้าผมจะตื่นตีสี่ครึ่ง ทำธุระส่วนตัวแล้วออกมารอรถประมาณตีห้ากว่าๆ โดยผมจะนั่งรถ เมล์มาลงที่รังสิต แล้วต่อรถตู้มาลาดพร้าว 80 โดยภาพที่ผมเห็นจนชินตาก็คือ
ทุก คนที่รอรถตรงหน้าเมเจอร์รังสิตต่างรีบวิ่งลงไปบนพื้นถนนโดยไม่นึกกลัวว่ารถ จะชนหรือกีดขวางทางจราจร เมื่อเห็นรถตู้แล่นเข้ามาเทียบท่า ต่างแย่งชิง ทั้งเบียดเสียด บางครั้งก็มีถ้อยคำด่าทอเสียๆ หายๆ
ตามมาไม่ว่าหญิงหรือชาย
คน ขับบางคนก็พูดจาไม่สุภาพ ขับรถเหมือนแม่ป่วยต้องนำส่งโรงพยาบาลก็ไม่ปาน ปกติรถตู้สามารถนั่งได้ 14-15 คน แต่นี่มีการเสริมเบาะนั่งให้ได้ 20คน แออัดยัดเยียด เบียดเสียดจนแทบจะเป็น ผัวเมียกันทั้งคันรถ พอรถออกตัว หน่วยคอลเซ็นเตอร์ก็เริ่มทำงานทันที คือต่างควักมือถือออกมาแล้วก็คุยๆๆ คุยๆๆอย่างออกรสออกชาด ประหนึ่งว่ากรูนั่งมาในรถคนเดียวไม่ต้องเกรงใจคนรอบข้าง คนขับก็ไม่ ยอมน้อยหน้า โทรด่ากับเมียด้วยถ้อยคำที่ไม่รู้ไปขุดมาจากไหน บางครั้งยังแถม “แจกกล้วย” ให้รถคันที่วิ่งแซงไปด้วย นี่เป็นชีวิตประจำวันตลอด 3 ปีที่ผ่านมา
แต่....เมื่อวานนี้เอง ผมรู้สึกถึงความเปลี่ยนแปลง แน่นอนครับ
" น้ำท่วม " หลายคนบอกน้ำท่วมมันดีตรงไหน ใช่ครับน้ำท่วมไม่ใช่สิ่งที่ผู้คนปรารถนา แต่น้ำท่วมทำให้ผมได้เห็นชีวิตในอีกแง่มุมหนึ่งของผู้คนในเมืองฟ้าผ่องอำไพ แห่งนี้
วันนั้นผมเลิกงาน 5 โมงเย็น จึงนั่งรถบริษัทฯมาลงสะพานใหม่ แล้ว นั่งรถเมล์สาย 39 ต่อ เพราะน้ำท่วมรถตู้วิ่งไม่ได้ รถเมล์วิ่งลุยน้ำมาถึง กม.25 ก็ต้องหยุดเนื่องจากน้ำลึกไปต่อไม่ไหว กระเป๋าจึงแจ้งให้ผู้โดยสารลงจากรถเพื่อไปต่อรถทหาร(ซึ่งไม่รู้ว่าจะมาตอน ไหน) ผมเดินลุยน้ำมารอบริเวณเกาะกลางถนน ซึ่งมีผู้คนยืนรออยู่ประมาณ 30 คน ผู้คนเหล่านั้นต่างมีสีหน้ากังวล บ้างก็หันมาพูดคุยสอบถามกัน ว่าจะไปไหน จะมีรถหรือเปล่า ไอ้หนุ่มนักศึกษาถามป้าจะไปไหน มาผมช่วยถือของให้ พี่ผู้ชายไว้หนวดช่วยอุ้มเด็ก3ขวบที่มากับแม่ที่หิ้วของพะรุงพะรัง แฟนสาวของไอ้หนุ่มนักศึกษาช่วยแม่เด็กหิ้วกระเป๋า อีกมือใช้กระดาษพัดไล่ยุงให้เด็กน้อย ลุงแก่ๆ สองคนที่นั่งบนราวเกาะกลางถนนเขยิบที่พร้อมเอ่ยปากเชิญชวนชายแก่อีกคน ซึ่งยืนอยู่ข้างๆ มานั่งด้วยกัน
มีรถผ่านมาเรื่อยๆ และสิ่งที่ผมเห็นคือรถเกือบทุกคันจะลดกระจกลงแล้วโผล่หน้าออกมาถามว่าจะไป ไหน ถ้ารถเขาผ่านรายนั้นๆ ก็จะได้ติดรถไปด้วย คนที่อยู่ไม่ไกลไปกันเกือบหมดแล้ว จะเหลือก็พวกที่อยู่แถวประทาน พร บางขัน นวนคร และก็ตัวผม ประตูน้ำพระอินทร์ รวมแล้วน่าจะประมาณ 17 คน เรารออยู่ประมาณสองชั่วโมงจึงมีรถโฟร์วีลคันหนึ่งผ่านมา คนขับหน้าตายังวัยรุ่นเปิดกระจกออกมาถามพวกเราว่า “มีไครไปนวนครไหม๊?” เท่านั้นแหละทุกคนต่างยิ้มแก้มแทบปริ พวกเรารีบทยอยขึ้นรถ บ้างก็ช่วยดึงกันขึ้น บ้างก็ช่วยถือของโดยไม่ต้องเอ่ยปากขอ แต่สิ่งที่พวกเราลืมคิดกันตอนนั้นคือ จำนวนคนกับรถมันไม่เหมาะสมกัน เนื่องจากโฟร์วีลกระบะมันเล็ก จุได้แค่ 12 คน ที่เหลืออีก 5 คนคือ ไอ้หนุ่มนักศึกษากับแฟน ลุงแก่ทั้งสอง และผม
พวกเรามองหน้า กัน พี่ผู้ชายมีหนวดเอ่ยปากขึ้นว่าพวกคุณไปกันก่อน เดี๋ยวผมรอคันหลัง ว่าแล้วก็โดดผลุงลงมาเพื่อให้แฟนสาวของไอ้หนุ่มนักศึกษาขึ้นไปแทน แฟนไอ้หนุ่มนักศึกษาบอกไม่เป็นไรให้ลุงไปก่อนดีกว่าเดี๋ยวหนูกับแฟนรอไปคัน หลัง และอีกหลายคนก็แสดงเจตจำนงที่จะเสียสละ
แต่แล้วสิ่งที่ทำ ให้ผมแทบกลั้นน้ำตาไว้ไม่อยู่ก็คือ ป้าที่นั่งอยู่ลุกขึ้นแล้วพูดว่า"ถ้าไปก็ต้องไปด้วยกันหมด" ให้พวกเราทุกคนยืนขึ้นก็จะมีที่พอสำหรับทุกคน จริงอย่างที่แกพูด พวกเราที่เหลือขึ้นมาบนรถได้ จากนั้นพวกเราก็ยืนกอดเอวกันไว้เป็นรูปวงกลมแน่นกระชับ จะได้ไม่ล้มเวลารถวิ่ง จากนั้น รถก็เริ่มวิ่งลุยน้ำไปเรื่อยๆ ช้าๆ ในขณะนั้น สิ่งที่ผมสังเกตเห็นก็คือ รอยยิ้มจากมุมปากของทุกคน บางคนก็มีมุขให้พวกเราได้หัวเราะกันสนุกสนาน ดูแล้วแทบไม่น่าเชื่อ ว่ากลุ่มคนเหล่านี้ไม่เคยรู้จักมักจี่กันมาก่อนเลย และเมื่อถึงจุดที่มีคนลงรถ พวกเราก็จะล่ำลาและอวยพรให้กันและกันเหมือนประหนึ่งกับญาติตัวเองไม่มีผิด จนในที่สุดรถก็วิ่งมาถึงนวนครซึ่งเป็นจุดสุดท้าย พวกเราที่เหลือลงจากรถแล้วก็เดินไปไหว้ขอบคุณเจ้าของรถ แล้วผมก็โบกมือลาไอ้หนุ่มนักศึกษากับแฟนเพื่อเดินต่อจากนวนครไปประตูน้ำพระ อินทร์
ผม เดินไปยิ้มไป ฮำเพลงบ้าง ผิวปากบ้างอย่างอารมณ์ดี แบบที่ไม่เคยรู้สึกอย่างนี้มาก่อนเลย เหตุการณ์ในวันนี้ทำให้ผมรู้ว่า"แสงสว่างนั้น ซ่อนอยู่หลังความมืดมิดเสมอ"
นายหงส์แก่
ข้อมูลจาก:http://atcloud.com/stories/101569
โพสต์โดย: JUM_NCC
ผม พักอยู่ประตูน้ำพระอินทร์ อยุธยา แต่ที่ทำงานอยู่ลาดพร้าว80 ผมต้องเดินทางไปกลับทุกวัน (บริษัทฯมีรถรับ-ส่งแค่สะพานใหม่) ตอนเช้าผมจะตื่นตีสี่ครึ่ง ทำธุระส่วนตัวแล้วออกมารอรถประมาณตีห้ากว่าๆ โดยผมจะนั่งรถ เมล์มาลงที่รังสิต แล้วต่อรถตู้มาลาดพร้าว 80 โดยภาพที่ผมเห็นจนชินตาก็คือ
ทุก คนที่รอรถตรงหน้าเมเจอร์รังสิตต่างรีบวิ่งลงไปบนพื้นถนนโดยไม่นึกกลัวว่ารถ จะชนหรือกีดขวางทางจราจร เมื่อเห็นรถตู้แล่นเข้ามาเทียบท่า ต่างแย่งชิง ทั้งเบียดเสียด บางครั้งก็มีถ้อยคำด่าทอเสียๆ หายๆ
ตามมาไม่ว่าหญิงหรือชาย
คน ขับบางคนก็พูดจาไม่สุภาพ ขับรถเหมือนแม่ป่วยต้องนำส่งโรงพยาบาลก็ไม่ปาน ปกติรถตู้สามารถนั่งได้ 14-15 คน แต่นี่มีการเสริมเบาะนั่งให้ได้ 20คน แออัดยัดเยียด เบียดเสียดจนแทบจะเป็น ผัวเมียกันทั้งคันรถ พอรถออกตัว หน่วยคอลเซ็นเตอร์ก็เริ่มทำงานทันที คือต่างควักมือถือออกมาแล้วก็คุยๆๆ คุยๆๆอย่างออกรสออกชาด ประหนึ่งว่ากรูนั่งมาในรถคนเดียวไม่ต้องเกรงใจคนรอบข้าง คนขับก็ไม่ ยอมน้อยหน้า โทรด่ากับเมียด้วยถ้อยคำที่ไม่รู้ไปขุดมาจากไหน บางครั้งยังแถม “แจกกล้วย” ให้รถคันที่วิ่งแซงไปด้วย นี่เป็นชีวิตประจำวันตลอด 3 ปีที่ผ่านมา
แต่....เมื่อวานนี้เอง ผมรู้สึกถึงความเปลี่ยนแปลง แน่นอนครับ
" น้ำท่วม " หลายคนบอกน้ำท่วมมันดีตรงไหน ใช่ครับน้ำท่วมไม่ใช่สิ่งที่ผู้คนปรารถนา แต่น้ำท่วมทำให้ผมได้เห็นชีวิตในอีกแง่มุมหนึ่งของผู้คนในเมืองฟ้าผ่องอำไพ แห่งนี้
วันนั้นผมเลิกงาน 5 โมงเย็น จึงนั่งรถบริษัทฯมาลงสะพานใหม่ แล้ว นั่งรถเมล์สาย 39 ต่อ เพราะน้ำท่วมรถตู้วิ่งไม่ได้ รถเมล์วิ่งลุยน้ำมาถึง กม.25 ก็ต้องหยุดเนื่องจากน้ำลึกไปต่อไม่ไหว กระเป๋าจึงแจ้งให้ผู้โดยสารลงจากรถเพื่อไปต่อรถทหาร(ซึ่งไม่รู้ว่าจะมาตอน ไหน) ผมเดินลุยน้ำมารอบริเวณเกาะกลางถนน ซึ่งมีผู้คนยืนรออยู่ประมาณ 30 คน ผู้คนเหล่านั้นต่างมีสีหน้ากังวล บ้างก็หันมาพูดคุยสอบถามกัน ว่าจะไปไหน จะมีรถหรือเปล่า ไอ้หนุ่มนักศึกษาถามป้าจะไปไหน มาผมช่วยถือของให้ พี่ผู้ชายไว้หนวดช่วยอุ้มเด็ก3ขวบที่มากับแม่ที่หิ้วของพะรุงพะรัง แฟนสาวของไอ้หนุ่มนักศึกษาช่วยแม่เด็กหิ้วกระเป๋า อีกมือใช้กระดาษพัดไล่ยุงให้เด็กน้อย ลุงแก่ๆ สองคนที่นั่งบนราวเกาะกลางถนนเขยิบที่พร้อมเอ่ยปากเชิญชวนชายแก่อีกคน ซึ่งยืนอยู่ข้างๆ มานั่งด้วยกัน
มีรถผ่านมาเรื่อยๆ และสิ่งที่ผมเห็นคือรถเกือบทุกคันจะลดกระจกลงแล้วโผล่หน้าออกมาถามว่าจะไป ไหน ถ้ารถเขาผ่านรายนั้นๆ ก็จะได้ติดรถไปด้วย คนที่อยู่ไม่ไกลไปกันเกือบหมดแล้ว จะเหลือก็พวกที่อยู่แถวประทาน พร บางขัน นวนคร และก็ตัวผม ประตูน้ำพระอินทร์ รวมแล้วน่าจะประมาณ 17 คน เรารออยู่ประมาณสองชั่วโมงจึงมีรถโฟร์วีลคันหนึ่งผ่านมา คนขับหน้าตายังวัยรุ่นเปิดกระจกออกมาถามพวกเราว่า “มีไครไปนวนครไหม๊?” เท่านั้นแหละทุกคนต่างยิ้มแก้มแทบปริ พวกเรารีบทยอยขึ้นรถ บ้างก็ช่วยดึงกันขึ้น บ้างก็ช่วยถือของโดยไม่ต้องเอ่ยปากขอ แต่สิ่งที่พวกเราลืมคิดกันตอนนั้นคือ จำนวนคนกับรถมันไม่เหมาะสมกัน เนื่องจากโฟร์วีลกระบะมันเล็ก จุได้แค่ 12 คน ที่เหลืออีก 5 คนคือ ไอ้หนุ่มนักศึกษากับแฟน ลุงแก่ทั้งสอง และผม
พวกเรามองหน้า กัน พี่ผู้ชายมีหนวดเอ่ยปากขึ้นว่าพวกคุณไปกันก่อน เดี๋ยวผมรอคันหลัง ว่าแล้วก็โดดผลุงลงมาเพื่อให้แฟนสาวของไอ้หนุ่มนักศึกษาขึ้นไปแทน แฟนไอ้หนุ่มนักศึกษาบอกไม่เป็นไรให้ลุงไปก่อนดีกว่าเดี๋ยวหนูกับแฟนรอไปคัน หลัง และอีกหลายคนก็แสดงเจตจำนงที่จะเสียสละ
แต่แล้วสิ่งที่ทำ ให้ผมแทบกลั้นน้ำตาไว้ไม่อยู่ก็คือ ป้าที่นั่งอยู่ลุกขึ้นแล้วพูดว่า"ถ้าไปก็ต้องไปด้วยกันหมด" ให้พวกเราทุกคนยืนขึ้นก็จะมีที่พอสำหรับทุกคน จริงอย่างที่แกพูด พวกเราที่เหลือขึ้นมาบนรถได้ จากนั้นพวกเราก็ยืนกอดเอวกันไว้เป็นรูปวงกลมแน่นกระชับ จะได้ไม่ล้มเวลารถวิ่ง จากนั้น รถก็เริ่มวิ่งลุยน้ำไปเรื่อยๆ ช้าๆ ในขณะนั้น สิ่งที่ผมสังเกตเห็นก็คือ รอยยิ้มจากมุมปากของทุกคน บางคนก็มีมุขให้พวกเราได้หัวเราะกันสนุกสนาน ดูแล้วแทบไม่น่าเชื่อ ว่ากลุ่มคนเหล่านี้ไม่เคยรู้จักมักจี่กันมาก่อนเลย และเมื่อถึงจุดที่มีคนลงรถ พวกเราก็จะล่ำลาและอวยพรให้กันและกันเหมือนประหนึ่งกับญาติตัวเองไม่มีผิด จนในที่สุดรถก็วิ่งมาถึงนวนครซึ่งเป็นจุดสุดท้าย พวกเราที่เหลือลงจากรถแล้วก็เดินไปไหว้ขอบคุณเจ้าของรถ แล้วผมก็โบกมือลาไอ้หนุ่มนักศึกษากับแฟนเพื่อเดินต่อจากนวนครไปประตูน้ำพระ อินทร์
ผม เดินไปยิ้มไป ฮำเพลงบ้าง ผิวปากบ้างอย่างอารมณ์ดี แบบที่ไม่เคยรู้สึกอย่างนี้มาก่อนเลย เหตุการณ์ในวันนี้ทำให้ผมรู้ว่า"แสงสว่างนั้น ซ่อนอยู่หลังความมืดมิดเสมอ"
นายหงส์แก่
ข้อมูลจาก:http://atcloud.com/stories/101569
โพสต์โดย: JUM_NCC
สมัครสมาชิก:
บทความ (Atom)